jm  คารมเป็นต่อรูปหล่อเป็นรอง คงใช้ไม่ได้กับ “จอห์น เมเยอร์”(John Mayer)

เพราะหมอนี่จัดอยู่ในประเภท “รูปหล่อ หน้าหม้อ ปากหมา”


จอห์นเคยปล่อยหมาที่เลี้ยงไว้ในปากเป็นฝูงออกมาปะทะ ตอบโต้กับใครต่อใครมากมาย ที่ดังมากก็คือการออกมาด่ากิ๊กเก่า คนดัง อย่าง “เทย์เลอร์ สวิฟฟ์”
 

  นอกจากนี้จอห์นยังมีวีรเวรอันโด่งดังอีกเรื่องนั่นก็คือ หมอเป็นแฟน เป็นกิ๊ก คั่ว คบ กับซุปตาร์สาวดังๆมาแล้วมากหลาย นอกจากน้องเทย์เลอร์แล้วก็มี มินกา เคลลี, เจนนิเฟอร์ อนิสตัน, เจสสิกา ซิมป์สัน,เคท วิทส์เลท และล่าสุดที่เป็นข่าวดังแต่ยังไม่ฉาว ก็คือการคบหาดูใจกับป็อบสตาร์สาวสวยอึ๋มอย่าง “เคที่ เพอร์รี่” ซึ่งก็มีข่าวออกมาว่าเมเยอร์จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง กลับตัวกลับใจ เลิกหน้าหม้อ เจ้าชู้ หันมาคบหากับเคที่อย่างจริงจัง เพราะอายุอานามก็ปาเข้าไป 34 แล้ว

งานนี้คงต้องดูกันต่อไปว่าในอนาคตข้างหน้าจอห์นจะถึงขั้นตกล่องปล่อง ชิ้นกับเคที่ หรือว่าสุดท้ายแล้วหมอค้นพบตัวเองเลือกแต่งงานกับผู้ชายดีฝ่า เพราะชายเหนือชายคือยอดชาย
jm

แม้จะปากเสียและมีพฤติกรรมแย่ๆ(เรื่องหญิง) แต่ในด้านงานเพลงแล้วกับตรงกันข้าม เพราะนับแต่อัลบั้มแรก “Room for Squares”(2001) มาจนถึงอัลบั้มล่าสุด “Born and Raised” (2012) จอห์นได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เขามีฝีมือรอบด้าน รอบจัด ทั้งการแต่งเพลง ร้องเพลง เล่นกีตาร์ ซึ่งสามารถคว้ารางวัลทางดนตรีมาเยอะเอาเรื่องอยู่

จอห์น เมเยอร์ แม้ได้รับอิทธิพลทางกีตาร์แบบจัดเต็มมาจากสตีวี่ เรย์ วอห์น แต่เขาสามารถนำมาจัดสรรใส่ในดนตรีป็อบเจือกลิ่นบลูส์กับสไตล์เฉพาะตัวของเขา ได้อย่างน่าฟัง


สำหรับในอัลบั้ม Born and Raised ล่าสุดชุดที่ 5 นี้ จอห์นเดินหน้าใส่อรรถรสความเป็นคันทรี โฟล์ค เข้าไปไว้ในหลายเพลงด้วยกัน พร้อมกันนี้ยังได้คนดนตรีฝีมือดีที่สันทัดในเส้นทางนี้มาร่วมงานอย่าง ชัค ลีเวลล์ อดีตสมาชิก ดิ ออลแมน บราเธอร์ส มาพรมคีย์บอร์ดให้ เดวิด ครอสบี้ และ เกรแฮม แนช 2 คุณปู่ที่ยังคงซู่ซ่า แห่ง CSNY มาร่วมร้อง มีคริส บอตติ อีกหนึ่งหนุ่มหล่อในวงการเพลงมาช่วยเป่าทรัมเป็ต และได้ดอน วอส มาเป็นโปรดิวซ์เซอร์


alt
ปกหน้าอัลบั้ม Born and Raised
alt

Born and Raised ฉายให้เห็นอรรถรสแห่งคันทรีกันตั้งแต่เพลงแรกกับ “Queen of California” ที่อินโทรขึ้นนำมาด้วยอะคูสติกกีตาร์ ตามด้วยเสียงหวานๆของพีดัล สตีล และเสียงร้องของจอห์นที่ปรับสไตล์มาในแบบคันทรี ท่อนโซโลกีตาร์เจือสำเนียงบลูส์ ใช้โน้ตง่ายๆไม่กี่ตัวแต่เมโลดี้สวยไม่หยอก

“The Age of Worry” มาแบบช้าๆเนิบๆ มีสำเนียงแทรดดิชั่นโฟล์คแบบเซลติกเด่นชัด เนื้อหามุ่งให้กำลังใจ ให้ต่อสู้กับชีวิตอย่าย่นย่อ


ต่อกันด้วย “Shadow Days” ซิงเกิ้ลแรกของอัลบั้มที่มาในอารมณ์หวานช้า ไพเราะ เนื้อหาคร่ำครวญถึงความหมองหม่นของตัวเอง จอห์นโซโลกีตาร์ง่ายๆแต่บาดลึกดีแท้ สงสัยหมอคงกลั่นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ


“Speak for Me” เป็นโฟล์คเนิบๆเน้นอะคูสติกกีตาร์เป็นหลัก เสียงปิ๊กกิ้งหรือลูกเกากีตาร์ในเพลงนี้มีลีลาที่สวยงามและเท่มาก


เร่งสปีดขึ้นมาหน่อยกับ “Something Like Olivia” มาแนวร็อกออกลูกโจ๊ะนิดๆ แต่ไม่หนัก ชัคเล่นแฮมมอนด์ออร์แกนบางๆรองพื้นคลอไปตลอด ส่วนจอห์นโซโลกีตาร์ติดสำเนียงบลูส์ได้อย่างลื่นไหล น่าฟัง

jm

มาถึงเพลงเอก “Born and Raised” บทเพลงชื่อเดียวกับอัลบั้ม กีตาร์ตีคอร์ดนำมา ชวนให้นึกถึงเพลง Wild Horses ของคุณปู่หินกลิ้งโรลลิ่งสโตน แต่เพลงนี้จอห์นได้ 2 คุณปู่ เดวิด ครอสบี้ และ เกรแฮม แนช มาร่วมร้อง

Born and Raised เด่นด้วยเสียงฮาร์โมนิก้าฝีปากจอห์นที่ฟังหวานอมเศร้า เข้ากับรสอารมณ์เพลงที่เป็นโฟล์คอันไพเราละเมียดละไม


“If I Ever Get Around to Living” เป็นโฟล์คเนิบๆ ดนตรีฟังลอยๆชวนฝัน ส่วน “Love Is a Verb” เนื้อหาว่าด้วยความรักในมุมมองของจอห์น


มาฟังอีกหนึ่งบทเพลงเพราะกับ “Walt Grace's Submarine Test, Janu” เป็นคันทรีโฟล์ค ที่นำเสนอด้วยเล่าเรื่องผ่านบทเพลง อินโทรเปิดนำด้วยเสียงทรัมเป็ตหล่อๆของคริส บอตติ แล้วต่อด้วยลูกปิ๊กกิ้งกีตาร์สุดเท่ นับเป็นที่แปลกและแสดงให้เห็นถึงความพยายามแสวงหาสิ่งใหม่ๆในการทำเพลงของ จอห์น


“Whiskey, Whiskey, Whiskey” ดนตรีเป็นโฟล์คบอกเล่าอารมณ์เมาตามชื่อเพลง เด่นไปด้วยเสียงฮาร์โมนิก้าที่เล่นเป็นพระเอก


“A Face to Call Home” เป็นร็อกช้าๆ ซาวนด์ครึ่งแรกฟังลอยๆ ก่อนที่จอห์นจะใส่ไลน์กีตาร์ในสำเนียงร็อกสมัยใหม่เข้ามาเป็นสีสันในช่วง ท้าย


ส่งท้ายกับ “Born and Raised (Reprise)” ในสไตล์คันทรีที่น่าฟังมาก เสียงฮาร์โมนิก้า พีดัล สตีล เล่นสอดประสานกันอย่างกลมกล่อม


alt
จอห์น เมเยอร์ ได้รับอิทธิพลทางกีตาร์มาจากสตีวี่ เรย์ วอห์น
alt

และนั่นก็คือบทเพลงจาก Born and Raised ที่จอห์น เมเยอร์ ได้เดินห่างจากร็อกและบลูส์มาสู่ความเป็นคันทรี โฟล์ค ที่ใส่เข้ามาแทนที่เป็นสีสันใหม่

Born and Raised ถือเป็นงานในระดับคุณภาพ มีความไพเราะชวนฟัง แม้งานเพลงชุดนี้จะเน้นเน้นบทเพลงช้าๆเนิบๆ มากกว่าเพลงจังหวะสนุกโจ๊ะๆเหมือนในงานเพลงช่วงแรกๆ แต่จอห์นก็ไม่ได้ทิ้งขว้างเสน่ห์ความเป็นป็อบตามสไตล์ถนัดของเขาไป


จุดเด่นที่น่าฟังมากอีกอย่างหนึ่งในอัลบั้มนี้นั่นก็คือภาคดนตรีที่ มุ่งเน้นอารมณ์ความเป็นธรรมชาติมากกว่าความเนี้ยบนิ้ง ซึ่งสามารถทำออกมาได้อย่างสมูธ กลมกล่อม ขณะที่ภาคเนื้อร้องนั้นดูจอห์นจะมีมุมมองที่สุขุมลุ่มลึกและเติบโตเป็น ผู้ใหญ่(ทางการเขียนเพลง)มากขึ้น


สำหรับจอห์น เมเยอร์ แม้หมอจะได้ชื่อว่าเป็นคนที่มีข้อเสียเรื่องปาก เรื่องหญิง และพฤติกรรมบางอย่างที่แย่ๆ แต่เขาก็มีข้อดี ข้อเด่น เรื่องความสามารถทางดนตรีมาเป็นสิ่งทดแทน


โดยอัลบั้มนี้คือหนึ่งในบทพิสูจน์โลกด้านบวกของเขา

 

{youtube width="500" height="350"}OLW6aMj45Hc{/youtube}

ที่มา:http://www.manager.co.th/entertainment/viewnews.aspx?NewsID=9550000106431

 

Go to top